Tuesday, 29 September 2015

Bridge-builder


Bridge-builder
South-South Cooperation


http://www.mfa.go.th/main/
http://www.mfa.go.th/main/th/media-center/28/60617-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1-UN-Sustainable-Dev.html

ข่าวเด่น : ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรีในการประชุม UN Sustainable Development Summit 2015

ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี
ในการประชุม UN Sustainable Development Summit 2015
ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๘ 
ท่านประธาน
๑. ผมเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมครั้งประวัติศาสตร์นี้ เพื่อยืนยันความมุ่งมั่นของรัฐบาล และชาวไทยที่จะร่วมกับประชาคมโลกทำให้วาระการพัฒนาที่ยั่งยืนบรรลุผลตามที่ตั้งใจไว้
๒. และยินดีมากที่วาระการพัฒนาใหม่ให้ความสำคัญกับ “คน” เพราะ “คน” เป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด และเป็นหัวใจของการพัฒนาอย่างยั่งยืน การกระทำของเราเท่านั้น ที่จะกำหนดความอยู่รอดของคนรุ่นหลัง
๓. ทุกวันนี้ แน่ชัดแล้วว่า มนุษย์คือสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่สุดของมวลมนุษยชาติ
๔. รู้เช่นนี้แล้ว เราจำเป็นต้องตัดสินใจกันว่า จะยังคงบริโภคกันอย่างไม่ยับยั้งและมุ่งหวังแต่ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบใด ๆ หรือจะเลือกอยู่อย่างยั่งยืน มุ่งเน้นชีวิตที่มีคุณภาพ พอเพียง และสมดุล เราสามารถเลือกที่จะเคารพธรรมชาติ ไม่มองธรรมชาติเป็นทรัพย์สิน
๕. ทุกอย่างที่ผมกล่าวมานี้ คือ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงสอนให้คนไทยมีเหตุผล รู้จักความพอดี สร้างความต้านทาน และได้ช่วยนำพาประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตมาหลายครั้ง เช่น วิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 เหตุการณ์สึนามิในปี พ.ศ. 2547 และทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษได้เกือบทั้งหมด รวมทั้งเป็นพื้นฐานสำหรับการจัดทำวิสัยทัศน์ประเทศไทยปี พ.ศ. 2558-2563 และแผนพัฒนาประเทศฉบับต่อไป
๖. โลกยังประสบความท้าทายเร่งด่วน คือ ความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นพื้นฐานของปัญหามากมาย เช่น ความยากจน การแย่งชิงทรัพยากร การโยกย้ายถิ่นฐาน และยังเป็นปัจจัยที่บ่มเพาะความรุนแรงในสังคมได้
๗. การขจัดความเหลื่อมล้ำต้องเริ่มจากการวางกรอบกติกาของสังคมให้มั่นคงและเป็นธรรมให้ทุกคนมีความเสมอภาค มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและการบริการภาครัฐอย่างเท่าเทียมกัน จึงจำเป็นต้องมีกฏหมายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานของภาครัฐด้วยหลักธรรมาภิบาล ความรับผิดชอบ ความโปร่งใส รวมทั้งขจัดการทุจริตและระบบอุปถัมภ์ รัฐบาลจึงได้ออกกฎหมายหลายฉบับที่จะสร้างความทัดเทียม เช่น กฎหมายคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และกฎหมายความเท่าเทียมระหว่างเพศ
๘. การขจัดความเหลื่อมล้ำต้องเริ่มจากการยอมรับในคุณค่าของคนทุกคน รัฐบาลกำลังสร้างความเข้มแข็งและความมั่นคงทางสังคมให้กับกลุ่มเปราะบาง และได้จัดวางมาตรการต่าง ๆ เช่น การประกันสุขภาพถ้วนหน้า การจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ การเพิ่มเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุและผู้พิการ รวมทั้งการให้เงินอุดหนุนครอบครัวยากจนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดรายเดือน รัฐบาลพยายามสร้างความเข้มแข็งให้กับบุคคลและครอบครัว ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน ให้สังคมมีความกลมเกลียวเหนียวแน่น
๙. ไม่แต่เฉพาะคนไทย รัฐบาลยังให้การคุ้มครองทางสังคมและกฎหมายแก่แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือด้วย ปีที่แล้ว ไทยให้แรงงานต่างด้าวผิดกฏหมายลงทะเบียนเพื่อเข้าสู่ระบบการจ้างงานกว่า 1.6 ล้านคน มาตรการนี้ช่วยป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์
๑๐. แต่ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับการดูแลทั่วถึง รัฐบาลไทยจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาข้อมูลสถิติที่ครอบคลุมและจำแนกตามกลุ่มคน เพื่อกำหนดนโยบายให้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มเหล่านี้อย่างแท้จริง
๑๑. เราต้องทำให้สังคมได้มองเห็นคนเหล่านี้ ต้องสร้างสังคมที่เมตตา เคารพในความเป็นมนุษย์ และยอมรับความเท่าเทียมกัน และปลูกฝังทัศนคติเหล่านั้นให้แก่ลูกหลานของเราตั้งแต่เยาว์วัย
๑๒. การขจัดความเหลื่อมล้ำต้องมาจากการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน รัฐบาลเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจและสังคมจากฐานราก โดยทำให้ชุมชนเข้มแข็ง ขยายการลงทุนสู่ท้องถิ่นผ่านกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศ รวมถึงกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่งจะส่งเสริมการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน และช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนในชนบท
๑๓. เรายังดูแลเกษตรกรของเราอย่างเต็มที่ เร่งแก้ไขปัญหาหนี้สิน ส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน และพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตร โดยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาท้องถิ่น และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่
๑๔. ปัจจุบัน คนไทยทั่วประเทศมีงานทำแทบทุกคน และรัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์บริการจัดหางาน Smart Job Centre ให้ผู้มีรายได้น้อยมีช่องทางในการหางานทำด้วย
๑๕. การขจัดความเหลื่อมล้ำไม่ได้เป็นเรื่องภายในของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เราต้องช่วยกันขจัดความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศผ่านความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา เราจึงมุ่งที่จะสร้าง ความเชื่อมโยงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มจากประเทศเพื่อนบ้านในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวจังหวัดชายแดน 6 แห่ง ภายใต้แนวคิด “ไทยบวกหนึ่ง”
๑๖. ในขณะเดียวกัน เราจะพัฒนาประเทศและภูมิภาคควบคู่ไปกับการขยายความร่วมมือกับเพื่อนของเรานอกภูมิภาคผ่านความร่วมมือใต้-ใต้ และความร่วมมือไตรภาคี
๑๗. เมื่อประชาชนและชุมชนเข้มแข็ง ประเทศและโลกก็จะเข้มแข็งไปด้วย อีก 15 ปีข้างหน้า เราจะต้องเห็นโลกที่ความเหลื่อมล้ำและความยากจนลดน้อยลง ไทยพร้อมร่วมกับทุกประเทศ และองค์การสหประชาชาติในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้ทุกคนเข้มแข็งไปด้วยกัน และอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
*****************
(ภาพจาก http://www.thaigov.go.th)










http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9580000108673

ประชุม “จี 77” เลือกไทยนั่งประธานครั้งแรก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
26 กันยายน 2558 20:10 น. (แก้ไขล่าสุด 27 กันยายน 2558 10:13 น.)
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ที่ประชุม “จี 77” เลือกไทยนั่งประธานครั้งแรก
ภาพจากเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ

ที่ประชุม “จี 77” เลือกไทยนั่งประธานครั้งแรก

ที่ประชุม “จี 77” เลือกไทยนั่งประธานครั้งแรก

ที่ประชุม “จี 77” เลือกไทยนั่งประธานครั้งแรก

ที่ประชุม “จี 77” เลือกไทยนั่งประธานครั้งแรก
อังกฤษ-ไทย: คลังศัพท์ไทย โดย สวทช.
South-South Cooperationความร่วมมือใต้-ใต้ หรือ ความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา " เป็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการที่ประเทศกำลังพัฒนา/ ด้อยพัฒนา ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันภายหลังจากที่ความ ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและวิชาการที่ประเทศที่พัฒนาแล้วได้ให้แก่ประเทศกำลัง พัฒนา/ด้อยพัฒนามีแนวโน้มลดลงและมีการนำเงื่อนไขอื่น ๆ มาผูกกับการให้ความช่วยเหลือมากขึ้น อาทิ ประเด็นสิ่งแวดล้อม โดยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการระหว่างประเทศกำลังพัฒนา/ด้อยพัฒนานี้ จะเป็นทั้งในลักษณะของการให้ (อาทิ ทุนการศึกษา/ทุนฝึกอบรม/ทุนดูงาน/ผู้เชี่ยวชาญ/วัสดุอุปกรณ์) ของประเทศใดประเทศหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว อาทิ การให้ความร่วมมือด้านทุนฝึกอบรมระยะสั้นในสาขาการเกษตรของไทยแก่ประเทศใน แอฟริกา และในลักษณะของการแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างกัน " [การฑูต]
ที่ประชุมกลุ่มประเทศ จี 77 ที่จัดขึ้นระหว่างประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ไทยทำหน้าที่ประธานในวาระปี 2558 นับเป็นครั้งแรก หลังเป็นสมาชิกร่วมก่อตั้งเมื่อ 51 ปีก่อน
     
       เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2558 ตามเวลาท้องถิ่น นายอภิชาติ ชินวรรโณ เอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส ในฐานะผู้แทนพิเศษของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เข้าร่วมประชุมการประชุมระดับรัฐมนตรีของกลุ่ม 77 (G 77) ครั้งที่ 39 ในช่วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐเมริกา โดยมี นายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ นายโมนส์ เลิคเคทอฟ ประธานสมัชชาสหประชาชาติ ตลอดจนรัฐมนตรีและผู้แทนจากประเทศสมาชิกต่าง ๆ เข้าร่วม
     
       ผู้แทนพิเศษของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวขอบคุณประเทศสมาชิกกลุ่ม G 77 ในโอกาสที่ประเทศไทยได้รับการรับรองให้ดำรงตำแหน่งประธานกลุ่ม G 77 สำหรับวาระปี 2558 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ และเป็นการแสดงความพร้อมและบทบาทนำของไทยในการสานต่อความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา
     
       ผู้แทนพิเศษของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ภายใต้การดำรงตำแหน่งประธานกลุ่ม G 77 ประเทศไทยยึดมั่นในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและประชาธิปไตยของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการส่งเสริมผลประโยชน์และผลักดันประเด็นซึ่งกลุ่มให้ความสำคัญ นอกจากนี้ ประเทศไทยจะแสดงบทบาทเป็นสะพานเชื่อม (Bridge-builder) ระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่ม และระหว่างกลุ่มกับประเทศและองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ
     
       ประเทศไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งของกลุ่ม G 77 ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2507 โดยประเทศกำลังพัฒนาจำนวน 77 ประเทศ ปัจจุบันกลุ่ม G 77 มีสมาชิก 134 ประเทศ แต่ยังคงชื่อเดิมไว้เนื่องจากความสำคัญทางประวัติศาสตร์ กลุ่ม G 77 เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลของประเทศกำลังพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในสหประชาชาติ โดยเป็นเวทีให้ประเทศกำลังพัฒนาส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาร่วมกัน ตลอดจนช่วยส่งเสริมความร่วมมือใต้ - ใต้ (South-South Cooperation) ด้วย
     
       การที่ประเทศไทยได้ทำหน้าที่ประธานในวาระปี 2558 นับเป็นครั้งแรก หลังจากไทยที่เป็นสมาชิกร่วมก่อตั้งเมื่อ 51 ปีก่อน